เปิดแชทสุดท้าย เหยื่อยาดองมรณะคุยลูกสาว เผยคำสั่งเสียก่อนจากไป ลั่นอยากได้ยินคำขอโทษจากเจ้าของร้าน ฟังคำสัมภาษณ์เหมือนไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่

จากหตุการณ์มีผู้ป่วยจากอาการเป็นพิษจากเมทานอล หลังดื่มยาดองในพื้นที่ย่านคลองสามวา โดยตัวเลขผู้ป่วยซุ้มยาดองเถื่อนเสียชีวิตแล้ว 4 คน และอาการน่าห่วงอีกหลายราย ขณะที่กรมสรรพสามิตตรวจสอบต้นตอโรงงานผลิต พบลักลอบผสมเมทานอล สั่งปิด 18 ซุ้มยาดอง เก็บตัวอย่างส่งตรวจอยู่ระหว่างรอผล

โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 2 คือ นายปิติชัย สุจินดากุล อายุ 43 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เสียชีวิตเมื่อเวลา 22.58 ของวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ซึ่งทางลูกสาวของนายปิติชัย ออกมาโพสใบแจ้งค่ารักษาพยาบาลที่รวมมูลค่าสูงถึง 116,540 บาท ตลอดการพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 23-25 ส.ค.ที่ผ่านมา พร้อมร้องขอความเป็นธรรมจากการเสียชีวิตของพ่อระบุว่า อยากจะออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพ่อ ไม่มีใครรับผิดชอบการเสียชีวิตของพ่อเลย และต้องเผชิญกับค่ารักษาหลักแสน ไม่มีเงิน ต้องไปยืมเงินคนอื่นเพื่อจัดงานศพให้พ่อ“

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ส.ค.67 ที่วัดกระทุ่มเสือปลา ซอยอ่อนนุช 67 แขวงประเวศ เขตประเวศ กทม. น.ส.สุธิตา เชื้อชิต และน.ส.ปรียาภรณ์ สุจินดากุล ลูกสาวของนายปิติชัย สุจินดากุล อายุ 43 ปี ผู้เสียชีวิต เปิดใจหลังจากพ่อเสียชีวิต เพราะดื่มยาดอง

น.ส.สุธิตา กล่าวว่า พ่อไปดื่มยาดองร้านที่สามวา 1 จากนั้นเกิดอาการชักเกร็ง ตาลาย แล้วเข้ารพ.อยู่ไอซียู พอตนไปที่รพ. หมอแจ้งว่ามีเคสเข้ามาแล้ว อาการลักษณะเดียวกัน จากการดื่มยาดอง มีทั้งคนที่รอดชีวิตและคนที่ไม่รอดชีวิต โดนเท่าที่ทราบ พ่อเริ่มมีอาการวันที่ 21 ส.ค. โดยพ่อไปบอกเพื่อนร่วมงานว่า ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ เวียนหัวบ่อย ตื่นเช้ามาตาลาย มองไม่ค่อยเห็น

ต่อมาตอนเช้าวันที่ 23 ส.ค. พ่อไปทำงานไม่ไหว น่าจะมีการอาเจียนด้วย เพราะตนไปเจอเสื้อพ่อที่เปื้อนคราบน้ำลายด้วย แล้วเพื่อนพ่อพยายามจะโทรหา แต่ไม่ติด จนที่ทำงานโทรบอกให้ไปที่รพ. และตนมาทราบข่าวตอน 4 ทุ่มก็รีบตามไปรพ.

ก่อนที่พ่อจะไปที่โรงพยาบาล พ่อเริ่มมีอาการก็ไปขอความช่วยเหลือจากข้างห้อง แล้วก็มีอาการชักเกร็ง ระหว่างก่อนมารพ.ด้วย และคาดว่าน่าจะสมองน่าจะตาย เพราะขาดออกซิเจนตั้งแต่ตอนก่อนจะมาถึงรพ. จากการสันนิษฐานพ่อน่าจะดื่มยาดอง ก่อนหน้าจะมีอาการไม่กี่วัน เพราะปกติพ่อก็จะชอบไปสังสรรค์กับเพื่อนไปดื่มอยู่แล้ว ส่วนยาดองทราบมาว่าร้านจะอยู่หลังบริษัท และพ่อก็จะไปดื่มหลังเลิกงาน และพ่ออยู่คนเดียวก็คิดว่าจะซื้อใส่ขวด เพื่อไปดื่มที่ห้อง เพราะพ่อบอกว่ากินยาดองแล้วหลับสบาย

ส่วนพ่อกินยาดองร้านนี้มานานหรือยังนั้น ไม่ทราบ เพราะปกติพ่อจะชอบกินเหล้า กินเบียร์ ยาดองก็พึ่งจะมาทราบตอนที่เข้ารพ. และตอนไปที่ห้องพักของพ่อ ตนก็ไปเจอขวดยาดองที่พ่อซื้อมาดื่ม 2 ขวด พอเปิดออกมาก็เป็นกลิ่นแอลกอฮอล์ล้างแผล มีกลิ่นสมุนไพรบ้าง แต่เป็นกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์เป็นหลัก ขนาดนั้นดมเข้าไปแค่นิดเดียว ก็เวียนหัว แสบจมูก โดยในขวดนั้น ยาดองมีสีน้ำตาลเข้ม

หลังพ่อเสียชีวิตได้เงินจากประกันสังคมมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลหลักแสนบาท และตน 3 พี่น้องเดินเรื่องจัดงานศพให้พ่อด้วยตนเอง เพราะไม่ได้มีญาติผู้ใหญ่ และบ้านเราไม่มีเงิน ถ้าไม่มีประกันสังคมก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลยังไง เงินที่นำมาจัดงานศพ น้องชายก็หยิบยืมมา รวมถึงตนเองก็หยิบยืมมา และทางวัดก็คอยช่วยเซฟค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ ตอนที่พ่อมีอาการโคม่า หลังเข้ารับการรักษา หมอแจ้งว่าพ่ออาการ 50-50 ถ้ารอดก็มีโอกาสเป็นเจ้าชายนิทราสูง เพราะม่านตาไม่ตอบสนองแล้ว เลือดเป็นกรดขั้นรุนแรง

ด้าน น.ส.ปรียาภรณ์ กล่าวว่า อยากให้เจ้าของร้านเข้ามาพูดคุย แค่คำว่าขอโทษก็อยากจะได้ยิน เพราะเขาจากการติดต่อไปเลย ไม่คิดจะติดต่อมาด้วยซ้ำ และจากการฟังที่เจ้าของยาดองให้สัมภาษณ์เหมือนเขาจะไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ เพราะตอนนี้มีคนที่อาการหนักและมีคนเสียชีวิต คนที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ก็อาจจะเป็นพ่อตนเอง แต่ก็ไม่มีการติดต่อมาเลย อยากจะให้เขามาช่วยเหลือบ้าง

พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าดำเนินคดีให้ถึงที่สุด โดยตอนนี้จะต้องรอผลชันสูตรละเอียดก่อน 45 วัน เพื่อดูสารในร่างกาย เพราะผลชันสูตรเบื้องต้นระบุว่า มีเลือดออกจากก้านสมอง เมื่อผลตรวจออกมาแล้วก็จะเอาผลมาแจ้งความดำเนินคดีได้ แต่ส่วนตัวก็กังวลว่า หากเผาศพไปแล้วจะทำอะไรลำบากขึ้นและตามคดีไม่ได้ และส่วนตัวก็ยังไม่อยากเผาศพ แต่เพราะมีค่าใช่จ่ายสูง

น.ส.สุธิตา กล่าวเพิ่มว่า “ลูกๆกับพ่อเพิ่งจะได้เจอกันในรอบ 10 ปี สิ่งที่ตนเองทำได้ก็อยากจะช่วยพ่อให้ถึงที่สุด เพราะที่ผ่านมาพ่อสู้ชีวิตมาก อยู่ตัวคนเดียว ทำงานบริษัทตกเย็นไปขับวิน เวลาพ่อไม่มีเงินก็ไม่เคยบอกพวกหนูว่าไม่มี นอกจากเขาจะไม่มีจริงๆ ถึงจะมาขอ แต่บางทีพวกหนูไม่มีก็ไม่ได้ให้ และพ่อก็จะบอกว่า ไม่เป็นไร พ่อเอาตัวรอดได้ ”

และลูกๆ เคยไปหาพ่อที่ห้องพักครั้งแรกในรอบ 10 ปี คือเมื่อวันที่ 28 ก.ค.67 เลยขอไปดูห้องว่าอยู่ยังไง ในห้องก็ไม่มีอะไรมาก มีมาม่ากับน้ำปลา เขาบอกมีแค่นี้ก็อยู่ได้ และตอนที่ไปพ่อยังตกงานอยู่ เพิ่งจะได้งานใหม่ เมื่อต้นเดือนส.ค. เหมือนพ่อเพิ่งได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แล้วก็ไม่คิดว่า วันนั้นที่เจอพ่อจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะเราไม่ได้เจอมาเป็น 10 ปี แต่ติดต่อกันโทรคุยกันตลอด

พ่อมักจะชอบบอกว่า “ถ้าป๊าไม่อยู่แล้วก็ดูแลกันนะ อย่าทิ้งกันนะ หนูทำดีแล้วที่ดูแลน้องมาตลอด ให้เข้มแข็งเพราะหนูเป็นเสาหลัก” จะพูดคุยกับพ่อผ่านแชท ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ลบเพราะหนูรับไม่ได้จริงๆ รู้สึกเหมือนพ่อยังไม่ได้ไปไหน และยังอยู่กับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *